ลาขาดผิวแห้ง กับวิธีป้องกันผิว 8 ประการ
ผิวแห้ง เป็นปัญหาที่สาวๆ พบเจอกันได้บ่อยๆ โดยเฉพาะในหน้าหนาวผิวจะทั้งแห้งจนเป็นขุยแล้วก็มักจะทำให้เกิดอาการคันซึ่งจะทำให้เกิดอาการคัน อักเสบ เป็นแผลเพิ่มอีกต่างหากและยิ่งถ้าเป็นผิวหน้าอาจทำให้เกิดปัญหาฝ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัยอันควร ในรายที่เป็นมากๆ ชั้นผิวหนังด้านบนจะหดตัวแห้งแตกเป็นร่องได้
สาเหตุของปัญหาผิวแห้งนั้นมักเกิดจากการขาดน้ำในส่วนผิวหนังส่วนนอกซึ่งอาจเกิดจากความชื้นของอากาศน้อยเช่นในหน้าหนาวหรือการอยู่ในห้องปรับอากาศนานๆ การใช้สบู่ที่ชำระล้างไขมันบนผิวหนังมากเกินไปเป็นต้น
อาการของผิวขาดน้ำและระบบเก็บน้ำใต้ผิว
ระบบเก็บน้ำมี 3 ระบบได้แก่
- ระบบ Natural Moisturizing Factor (NMF) ภายในเซลล์ มีคุณสมบัติดูดน้ำไว้กับตัว
- ปลอกหุ้มเซลล์ที่มีคุณสมบัติป้องกันส่วนประกอบภายในเซลล์ซึมออกนอกเซลล์
- ชั้นไขมัน intercellular lipids ที่กั้นน้ำไว้ระหว่างเซลล์
อาการของผิวเมื่อขาดน้ำ
- ผิวแห้ง ลอก หรือเป็นขุยโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เดี๋ยวผิวแห้งเดี๋ยวผิวมัน อาจจะเกิดได้ในระยะเวลาอันสั้นกลับไปกลับมาหรือบางคนอาจจะหน้าแห้งลอกทั้งที่หน้ามันเนื่องจากผิวงสร้างน้ำมันมาทดแทนน้ำหล่อเลี้ยงผิว
- แต่งหน้าไม่ติด รองพื้นเป็นคราบระหว่างวันทาครีมไม่ค่อยซึมแม้ว่าอาการจะคล้ายกับคนผิวแห้งแต่ผิวแห้งยังสามารถซึมซับผลิตภัณฑ์และเกลี่ยได้ง่ายตามปกติแต่ผิวขาดน้ำผิวจะไม่ดูดซึมเนื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นเลย
- ผิวหน้าดูอ่อนล้า ไม่สดใส ผิวขาดน้ำจะดูหยาบกร้านสัมผัสแล้วมีความสากไม่นุ่มเนียนและดูหย่อนคล้อยขาดความกระชับ
- แพ้ง่าย เพราะความชุ่มชื่นเปรียบเสมือนเกราะคุ้มกันผิวหากผิวขาดน้ำแล้วย่อมทำให้ไวต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้ง่ายเนื่องจากผิวอ่อนแอ
ผิวขาดน้ำจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?
- ผิวจะมันมากกว่าเดิม – เมื่อผิวขาดการเติมน้ำด้วยสกินแคร์ที่เหมาะสมสภาพผิวจะขาดความสมดุลผิวก็จะมีกลไกปกป้องตัวเองด้วยการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวมากขึ้นเพื่อไม่ให้ผิวของคุณสูญเสียความชุ่มชื้นไปมากกว่านี้
- กระบวนการผลัดเซลล์ผิวแปรปรวน – ก่อให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวเก่าโดยเมื่อรวมกับน้ำมันที่ถูกผลิตขึ้นมามากกว่าเดิม
วิธีป้องกัน กักเก็บความชุ่มชื้นล็อคไว้บนผิวของเรา ทำได้ง่ายๆนั่นก็คือ
-
ไม่ควรอาบน้ำบ่อย น้ำที่อาบควรเป็นน้ำอุ่น อุณหภูมิประมาณ 34 องศาC
-
ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ให้พอดีรู้สึกสบาย
-
เพิ่มความชื้นให้กับสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้เครื่องเพิ่มความชื้น
-
ทาครีมที่ลดการสูญเสียน้ำ อาทิ สารพวก Vaseline, Petrolatum, Lanolin, Ceramide
-
เพิ่มการดึงน้ำจากอากาศเข้าผิวหนัง โดยใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ 20-45% Propylene Glycol, Glycerine, Urea, Ceramide ต่อท้าย
-
การทาครีมที่มีส่วนผสมของ AHAs, Salicylic acid, Lactic acid ซึ่งจะช่วยลดความหนาของผิวหนัง ลดการตึงตัว ทำให้ผิวหนังนุ่มนวลขึ้นได้
-
การใช้ครีมทาแก้แพ้ หรือแก้คัน ที่มีส่วนผสมของสารเสตียรอยด์ ควรทาเท่าที่จำเป็น เพราะมีผลข้างเคียงทำให้ผิวแห้งมากขึ้นได้ และไม่ควรเกา
-
เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้า หรือทำความสะอาดผิวกายที่ไม่มีความเป็นกรด หรือด่างแรงๆ ควรใช้สบู่ เจล หรือโฟมอ่อนๆ ที่มีสารเคลือบผิว
-
หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า หรือ การขัดผิว การกรอผิว
-
ใช้ครีมบำรุงทาเป็นประจำ
นอกจากที่เราจะบำรุงแต่ภายนอกแล้ว การเข้าไปช่วยเสริมบำรุงจากภายในก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะใส่ใจ เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันการขาดน้ำ การทานอาหารยังช่วยป้องกันภาวะเสื่อมก่อนวัยของร่างกายได้อีกด้วย ซึ่งเราสามารถชะลอและป้องกันไม่ให้เสื่อมมากกว่านี้ด้วยการกินอาหารและหลีกเลี่ยงมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ดังนี้
-
โปรตีน เพราะเส้นผมมีส่วนประกอบหลักคือ โปรตีนเข้มข้นที่เรียกว่า “เคราติน” ไขมัน น้ำ และเมลานิน ซึ่งเคราตินมีมากในผมชั้นกลางที่ทำให้ผมแข็งแรง ดังนั้นการรับประทานเนื้อสัตว์ หรือถั่วที่ให้โปรตีนอย่างเพียงพอ จะช่วยบำรุงให้เส้นผมแข็งแรง ไม่อ่อนแอหลุดร่วงง่าย
-
วิตามินเอ มีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง เพิ่มกระบวนการผลิตของคอลลาเจนและอีลัสตินทำให้ผิวดูเต่งตึงและชุ่มชื่น นอกจากนี้ยังมีผลต่อต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังที่ผลิตน้ำมันให้ความชุ่มชื้น ช่วยลดริ้วรอยและผิวไม่หย่อนคล้อยก่อนอายุได้ ทั้งนี้คนที่ร่างกายขาดวิตามินเออาจทำให้เกิดสิวได้ง่ายกว่าปกติ
-
วิตามินบีรวม กลุ่มวิตามินบีมีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังและผมเป็นอย่างมาก เช่น วิตามินบี2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก วิตามินบี3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต วิตามินบี6 ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง วิตามินบี9 หรือFolic acid ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และวิตามินบี12 ช่วยในการแบ่งเซลล์
-
วิตามินซี สำคัญต่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายและผิวหนัง และเป็นตัวสำคัญในการสร้างคอลลาเจนด้วย
-
วิตามินอี ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มคือ tocopherol และ tocotrienols ซึ่งตัวหลังเชื่อกันว่าสามารถช่วยเรื่อง anti-aging ช่วยให้ผิวหนังเกิดความชุ่มชื่น ลดการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมผิวหนัง
-
แร่ธาตุพวกทองแดง สังกะสีและซีลีเนียม จะทำงานร่วมกับวิตามินที่ต้านอนุมูลอิสระเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น ทองแดงมีบทบาทช่วยสร้างคอลลาเจน สังกะสีช่วยซ่อมแซมคอลลาเจนที่สึกหรอ ช่วยรักษาสิวและแผลให้หายเร็ว
-
โอเมก้า3 และ6 เป็นไขมันดีที่ช่วยกักเก็บน้ำในร่างกาย ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ เป็นการทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง พบได้มากในน้ำมันถั่วดาวอินคา
-
น้ำ การขาดน้ำทำให้ผิวแห้งและไม่สดใส เซลล์ที่เสื่อมสภาพคั่งค้าง ดังนั้นหากดื่มน้ำเพียงพอจะทำให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่งและสดใส ปริมาณน้ำที่ควรดื่มอย่างน้อยในหนึ่งวันคือ 8 แก้วหรือมากได้ถึงวันละ 2 ลิตรก็ยิ่ง
เป็นอย่างไรกันบ้างสาวๆ เคล็ดลับง่ายๆ แบบนี้ รู้แล้วก็รีบบอกต่อกัน เพื่อป้องกันให้ผิวชุ่มชื้นกันทั่วหน้าในหน้าหนาวนี้ อย่างสุดท้ายที่จะขอฝากไว้คือ อย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำนะคะ ร่างกายจะได้กระฉับกระเฉงเลือดลมจะได้สูบฉีดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ผิวพรรณและความสดใสก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง
การป้องกัน ฟื้นฟูด้วยโอเมกา 3-6-9
ประโยชน์ของโอเมกา 3-6-9 ได้มีการทดลองกับผู้ป่วยโรคความจำเสื่อม ปรากฎว่า เมื่อได้มีการทดสอบความฉลาดด้านภาษาและกิริยาท่าทาง เช่น ความสามารถในการคำนวณ ความสามารถในการตัดสินใจ และประสิทธิภาพระดับสูงกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับ DHA เป็นเวลา 6 เดือนจะมีขอบข่ายอาการที่ดีขึ้นมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ DHA โอเมกา 3 อย่างเห็นได้ชัด
โอเมกาช่วยให้อาการตึงเครียดลดลง นอนหลับได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคมะเร็ง โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคไขข้อเสื่อม มีประโยชน์ต่อระบบสายตาและประสาท และลดอาการซึมเศร้า รู้อย่างนี้แล้ว รีบหันมาดูแลเอาใจใส่ ผู้สูงอายุที่บ้านกันดีกว่าให้ท่านอยู่กับเราแบบนี้ไปนาน ๆ