อบเชย Cinnamon เป็นเครื่องเทศที่เชื่อว่าอาจมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยสมานแผล ป้องกันอาการท้องร่วง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ หรือลดระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากเปลือกของอบเชยประกอบไปด้วยสารแทนนิน (Tannins) สารอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

อบเชยที่นำมาใช้ประโยชน์ คือส่วนของเปลือกไม้ ซึ่งเป็นพืชในสกุล Cinnamomum เป็นพืชประจำถิ่น เอเชียตอนใต้ แต่พืชตระกูลอบเชยมีอยู่หลายชนิดเราจึงเคยเห็น หรือได้ยินทั้ง อบเชยไทย อบเชยลังกา อบเชยญวน อบเชยชวา อบเชยจีน อบเชยเนปาล ซึ่งตระกูลอบเชยมักจะมีสรรพคุณทางยาคล้ายๆ กัน ความต่างที่เห็นได้ชัดของอบเชยแต่ละชนิด คือส่วนของเปลือกไม้ เช่น

1. อบเชยไทย พบได้ในป่าเขาที่ยังอุดมสมบูรณ์ หรือป่าดงดิบทั่วไป ทรงพุ่มกลม อบเชยไทย เป็น พันธุ์ไม้พระราชทาน เพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดระนอง
2. อบเชยชวา หรืออบเชยเทศ เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอบเชยที่จำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป เป็นอบเชยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน
3. อบเชยญวน ลักษณะลำต้นคล้ายอบเชยจีนมีกลิ่นหอม แต่กลิ่นหอมไม่เท่ากับอบเชยเทศ มีรสหวานแต่ไม่ค่อยหอม ปลูกได้ดีในประเทศไทย
4. อบเชยจีน พบในประเทศจีนแถบมณฑลกวงสี ยูนนาน และ กวางตุ้ง
5. อบเชยศรีลังกา พบมากในประเทศอินเดีย และ ศรีลังกาเป็นอบเชยที่มีราคาแพงที่สุด

• ไขมันทั้งหมด 1.2 g
• โซเดียม 10 mg
• โพแทสเซียม 431 mg
• คาร์โบไฮเดรต 81 g
• ใยอาหาร 53 g
• น้ำตาล 2.2 g
• โปรตีน 4 g
• วิตามินซี 3.8 mg
• แคลเซียม 1,002 mg
• เหล็ก 8.3 mg
• แมกนีเซียม 60 mg

1. รักษาระดับน้ำตาลในเลือด อบเชยมีสรรพคุณช่วยรักษา และ ลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงเป็นอาหารชั้นเลิศที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยหน้าที่ของอบเชยจะเข้าไปปิดกั้นเอนไซม์บางชนิดที่เรียกว่า อะลานีน ซึ่งอะลานีนนี้ก็จะดูดกลูโคสเข้าสู่เส้นเลือด หากเพิ่งกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงเข้าไป อบเชยก็จะช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดลงนั่นเอง
2. ต้านอนุมูลอิสระ อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นับว่ามีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมากมาย เพราะจะช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิดปกติ ซึ่งจากการวิจัยก็ค้นพบว่า อบเอยก็ถือเป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระไม่น้อยเช่นกัน
3. กระตุ้นการทำงานของสมอง สรรพคุณของอบเชยจะช่วยบำรุงสมอง โดยทำหน้าที่กระตุ้นโปรตีนที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์สมองเกิดการกลายพันธุ์ การทานอบเชยเป็นประจำยังช่วยบำรุงสมองให้แข็งแรง ช่วยกระตุ้นประสาท และ ลดความเครียดลงได้เป็นอย่างดี เหมาะกับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และ โรคพาร์กินสัน
4. ใบอบเชยเทศ ใช้กันมาแต่โบราณ ทั้งเป็นยาบำรุงกำลัง และ บำรุงร่างกาย แก้จุกแน่น และ ท้องเสีย นิยมรับประทานในรูปแบบต้มกับน้ำเดือด
5. ราก และ ใบมีกลิ่นหอม ใช้ทำน้ำต้ม ช่วยบรรเทาอาการไข้ที่เกิดขึ้นหลังจากคลอดบุตร แก้โรคหนองใน
6. เป็นส่วนประกอบของยาขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับผายลม ปัจจุบันนำมาผลิตในรูปแบบยาน้ำ เช่น ยาธาตุอบเชย เป็นต้น

1. ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของอบเชยนั้นค่อนข้างปลอดภัย แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ
2. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรหมั่นตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือด และ สังเกตอาการในระหว่างรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของอบเชย เพราะอบเชยอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้
3. ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของอบเชยอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะอบเชยอาจกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด และ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทั้งในระหว่าง และ หลังการผ่าตัด

อย่างไรก็ตาม การรับประทานอบเชยเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะไปเสริมฤทธิ์กับยาที่แพทย์สั่ง และ ถ้าหากระดับน้ำตาลต่ำลงมากเกินไป ก็อาจเป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้อบเชยช่วยรักษาอาการเสมอ นอกจากสามารถนำมารักษา หรือป้องกันโรคแล้ว อบเชย สามารถนำมาประกอบอาหารได้ทั้งคาว หวานได้อีกด้วย อ้างอิงข้อมูล: honestdocs.co, sanook.com