ไขมันพอกตับ โรคร้ายที่ใครๆ ก็สามารถเป็นได้ ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญ และ มีบทบาทสูงมากในการรักษาชีวิตให้เป็นปกติ ตับจะคอยทำหน้าที่คัดกรองสารต่างๆ ในร่างกาย และ ปรับสภาพให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในแต่ละอวัยวะ รวมทั้งเป็นแหล่งเก็บสะสมพลังงานสำรองของร่างกายด้วย
ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) คือภาวะที่ไขมันเข้าไปแทรกที่เซลล์ของตับซึ่งหากสะสมมากกว่า 5-10% ของน้ำหนักตับ จะถือว่าเป็นภาวะไขมันพอกตับ ทำให้ตับเกิดการอักเสบ หรือเซลล์ตับตาย และ เกิดพังผืดภายในตับจนกลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด ซึ่งหากอาการของโรคดำเนินไปจนถึงภาวะตับแข็ง จะไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาหรือวิธีทางการแพทย์ใดๆ ทำได้เพียงควบคุมอาการ และ ลดปริมาณไขมันในตับลง โดยการดูแลสุขภาพมากขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งปัจจุบันพบได้บ่อยในเกือบจะทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในคนอ้วน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง คนที่ดื่มสุราเป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี ซี หรือจากภูมิแพ้
ภาวะไขมันพอกตับแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 มีไขมันเกาะอยู่ที่เนื้อตับ แต่ยังไม่เกิดการอักเสบ
- ระยะที่ 2 เริ่มมีการอักเสบของตับหากปล่อยไว้นานเกิน 6 เดือน จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังได้
- ระยะที่ 3 การอักเสบรุนแรงขึ้น เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้น และ กลายเป็นพังผืด
- ระยะที่ 4 เนื้อเยื่อตับถูกทำลายจนทำงานผิดปกติ กลายเป็นตับแข็ง และ อาจเป็นมะเร็งตับได้
แค่ปรับพฤติกรรมการกิน ก็ป้องกันไขมันพอกตับได้
ไขมันพอกตับแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
- ภาวะไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol-related Fatty Liver Disease) เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และ เกิดการสะสมของไขมันที่ตับ
- ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease) เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง จนทำให้เกิดไขมันจำนวนมากสะสมอยู่ที่ตับ
อาการของไขมันพอกตับจะไม่แสดงให้เห็นตั้งแต่เริ่มแรก แต่จะเริ่มมีอาการที่เป็นผลพวงจากการที่ไขมันสะสมอยู่ในตับจำนวนมาก โดยอาการที่พบได้บ่อยคือ
- เหนื่อย อ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรง เบื่ออาหาร
- รู้สึกไม่สบายท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อคลื่นไส้
- น้ำหนักลดผิดปกติ ความอยากอาหารลดลง
- มึนงง ความสามารถในการตัดสินใจ และ สมาธิลดลง
- ปวดแน่นบริเวณใต้ชายโครงขวา
- ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ
- น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว
- สีผิวบริเวณท้ายทอย รักแร้ และ ข้อพับดำคล้ำ หรือมีสีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ตัวเหลือง ตาเหลือง คล้ายอาการดีซ่าน
การรักษา และ ป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
- ลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะกระตุ้นให้ตับทำงานหนักยิ่งขึ้น
- ควบคุมการกินคาร์โบไฮเดรต เช่น น้ำตาล ข้าว แป้ง ผลไม้ น้ำผลไม้ เพราะหากกินเข้าไปมากแล้วเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นไตรกลีเซอไรด์
- ควบคุมการกินอาหารกลุ่มไขมันสูง เช่น อาหารทอด รวมไปถึง อาหารแปรรูปที่มีส่วนประกอบของไขมันสัตว์ เช่น ไส้กรอก กุนเชียง แล้วหันมาเลือกกินไขมันดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดการสังเคราะห์ไตรกลีเซอไรด์ในตับได้
- เน้นการกินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ธัญพืช ผัก และ ผลไม้ เพราะมีส่วนช่วยในการดักจับไขมัน และ ขับออกจากร่างกายก่อนถูกดูดซึม
อย่างที่บอกว่าภาวะไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบ มักไม่แสดงอาการกระโตกกระตากให้เราได้ทราบล่วงหน้าก่อน ดังนั้นการป้องกันโรคนี้ที่ดีที่สุด คือพยายามดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดีไขมันพอกตับ แค่ปรับพฤติกรรมการกิน ก็ป้องกันได้ง่ายๆ แค่เลือกกิน กินดีตับดีสุขภาพดี อย่างแน่นอน อ้างอิงข้อมูล: health.kapook,honestdocs.co