ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกิดจาก ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มักมีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานเป็นหลัก เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น มีระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ง่าย เนื่องจากร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ
หรือ เกิดภาวะดื้ออินซูลินทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลผิดปกติ ต่างจากคนทั่วไปที่ฮอร์โมนอินซูลินจะถูกผลิต และ หลั่งจากตับอ่อนหลังมื้ออาหาร นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเกิดภาวะนี้ได้ง่าย เช่น ได้รับฮอร์โมนอินซูลิน หรือ รับประทานยาเบาหวานไม่เพียงพอ ไม่ควบคุมอาหาร มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเฉื่อยชาไม่ค่อยได้ออกแรง ได้รับบาดเจ็บหรือเข้ารับการผ่าตัด รับประทานยาสเตียรอยด์ เป็นต้น
อาการในช่วงเริ่มต้นสังเกตได้จาก
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน
- มองเห็นไม่ชัด ,มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา หลอดเลือด หรือไต
- ปวดศีรษะ ,คลื่นไส้อาเจียน ,ปวดท้อง มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และ ลำไส้ เช่นท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
- เหนื่อยง่าย ,หายใจสั้น ,ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้
- น้ำหนักลด ,อ่อนเพลีย ,รู้สึกสับสน ,กระหายน้ำมาก ,ปากแห้ง
- แผลหายช้ากว่าปกติ , ติดเชื้อบริเวณช่องคลอด หรือผิวหนัง ,ในรายที่อาการรุนแรงอาจเป็นลม หมดสติ
- เส้นประสาทเสียหาย ส่งผลให้มีอาการเท้าเย็นจนปวดหรือไม่มีความรู้สึก ขนขาร่วง หรือหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ น้ำตาลในเลือดสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคตับอ่อนอักเสบ
- โรคมะเร็งตับอ่อน
- ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน
- กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s Syndrome) เนื่องจากร่างกายมีฮอร์โมนคอร์ติซอลในเลือดมากกว่าปกติ
- เนื้องอกบางชนิดที่ทำให้การหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ
- การเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรุนแรงหรือรวดเร็ว เช่น ภาวะหัวใจวาย
แนะนำผลิตภัณฑ์จากถั่วดาวอินคา
จะทำอย่างไรให้คนที่เข้ารับการรักษา สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
- สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือ การดูแล และ จัดการตนเองในเรื่องอาหาร การออกกำลัง กินยา และ ฉีดอินซูลิน
- การตรวจระดับน้ำตาลแบบสุ่มตรวจ (Random Blood Sugar) เป็นการเจาะเลือดในช่วงเวลาใดก็ได้ ค่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติควรอยู่ที่ประมาณ 70 – 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นช่วยยืนยันผลอีกครั้ง เนื่องจากเกิดความคลาดเคลื่อนได้สูงกว่าการตรวจอื่นๆ
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด หลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Glucose) เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากอดอาหาร และ น้ำเป็นเวลาอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง มักตรวจในช่วงเช้าของวัน โดยค่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติควรต่ำกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากอยู่ระหว่าง 100 – 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร อาจอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และ เมื่อสูงกว่า หรือ เท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
- การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (Glycohemoglobin A1c) เป็นการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดช่วง 2 – 3 เดือนก่อนการเข้ารับการตรวจ ซึ่งค่าปกติมีระดับต่ำกว่า 5.7% หากอยู่ในช่วง 5.7- 6.4% จะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และ หากมีค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ 6.5% ขึ้นไป แสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
- การทดสอบการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด (Oral Glucose Tolerance Test) เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด หลังการดื่มน้ำที่มีน้ำตาลกลูโคสละลายในปริมาณ และ ระยะเวลาที่กำหนด วิธีนี้นิยมใช้ตรวจโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และ ดื่มน้ำให้มากขึ้น ออกกำลังกายเป็นประจำ
- ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ผู้ป่วยเสี่ยงภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
- กลุ่มที่ 1 – เป็นเบาหวาน แต่ไม่รู้ตัวว่าเป็น จึงไม่ได้รับการรักษา พบมากในคนที่มีอายุน้อย เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และ อีกกลุ่มที่สำคัญ คือผู้ชายที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป
- กลุ่มที่ 2 – รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน ได้รับการรักษาแล้ว แต่ยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ส่วนใหญ่เป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาจสืบเนื่องมาจากผู้หญิงมีสัดส่วนที่เข้ารับการตรวจเบาหวานมากกว่าผู้ชาย แต่ปัญหาสำคัญ คือยังควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะคนที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ทั้งหญิง และ ชาย
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง – กระเจี๊ยบแดง ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
นอกจากการรักษาโดยแพทย์แล้ว เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ น้ำตาลในเลือดสูงได้ด้วยสมุนไพรพื้นบ้านใกล้ตัว กระเจี๊ยบแดง ซึ่งสามารถหาทาน / ดื่มได้ง่าย อร่อย ที่สำคัญสรรพคุณเยอะมากอีกด้วย นั้นคือ กระเจี๊ยบแดง
มีผลของการวิจัยออกมาว่าการ ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง เข้ามาในร่างกายของเรานั้นจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารแอนโธไซยานินส์ ที่มีอยู่ในกระเจี๊ยบจะมีคุณสมบัติเพื่อมาช่วยป้องกันมะเร็ง ชะลอความแก่ ลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และ ไขมันชนิดเลวที่จะมาทำให้ร่างกายของเรานั้น มีน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งอ้วนนั้นเอง
ถิ่นกำเนิดของ กระเจี๊ยบแดง อยู่ในแถบแอฟริกาตะวันตก จากนั้นได้มีการนำกระเจี๊ยบแดงมาปลูกในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรทั่วไป ต้นกระเจี๊ยบ จะชอบแดดจัด และ จะเติบโตได้ดีในดินที่มีความชุ่มชื้นพอเหมาะ ดังนั้นกระเจี๊ยบจึงปลูกในบ้านเราได้สบายๆ กลายเป็นพืชสมุนไพรที่หาง่ายมากๆ ในต่างประเทศพบว่า มีการใช้ในแนวทางที่สอดคล้องกับของคนไทย เช่น อียิปต์ ใช้กลีบเลี้ยงดอกกระเจี๊ยบต้มกินรักษาความดันโลหิตสูง ใช้ทั้งต้นต้ม กินรักษาโรคหัวใจ และ โรคประสาท และ ใช้เป็นยาระบายไขมันในลำไส้ ประเทศกัวเตมาลา ใช้กลีบเลี้ยงต้มกินเป็นยาขับปัสสาวะ ลดการอักเสบของไต ส่วนชาวอินเดียใช้ใบต้มกิน เพราะเชื่อว่าจะทำให้เลือดบริสุทธิ์ หรือ ใช้ใบตากแห้งต้มกินช่วยแก้ไอ
คุณค่าทางโภชนาการ และ ประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดง
- พลังงาน 49 กิโลแคลอรีรูปกระเจี๊ยบแดง
- คาร์โบไฮเดรต 11.31 กรัม
- ไขมัน 0.64 กรัม
- โปรตีน 0.96 กรัม
- วิตามินเอ 14 ไมโครกรัม 2%
- วิตามินบี 1 0.011 มิลลิกรัม 1%
- วิตามินบี 2 0.028 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินบี 3 0.31 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินซี 12 มิลลิกรัม 14%
- ธาตุแคลเซียม 215 มิลลิกรัม 22%
- ธาตุเหล็ก 1.48 มิลลิกรัม 11%
- ธาตุแมกนีเซียม 51 มิลลิกรัม 14%
- ธาตุฟอสฟอรัส 37 มิลลิกรัม 5%
- ธาตุโพแทสเซียม 208 มิลลิกรัม 4%
- ธาตุโซเดียม 6 มิลลิกรัม 0%
ประโยชน์
- ลดไข้ ,แก้ไอ ละลายเสมหะ – ในกระเจี๊ยบมีสารพฤกษเคมี ที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งสารในกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ และ สารในกลุ่มแอนโธไซยานิน ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการแสดงให้เห็นว่า สารพฤกษเคมีดังกล่าว มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดไข้ และ ต้านการอักเสบ นอกจากนี้วิตามินซีในกระเจี๊ยบ ยังมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย
- แก้กระหายให้ร่างกายสดชื่น – ดอกกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว เพราะมีวิตามินซี และ กรดซิตริก จึงช่วยขับน้ำลาย และ แก้กระหาย
- ลดไขมันในเลือด – ส่วนเมล็ดของกระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยลดไขมัน และ คอเลสเตอรอลในเลือด โดยนำเมล็ดกระเจี๊ยบตากแห้งมาบดให้เป็นผง จากนั้นนำมาชงกับน้ำร้อน หรือ ต้มน้ำดื่ม ช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับน้ำดี แก้ปัสสาวะขัดได้
- ป้องกันโรคหัวใจ – ดอกกระเจี๊ยบมีสีแดง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้เลือดไม่หนืด ช่วยลดไขมันเลวในเส้นเลือด จึงป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันหัวใจขาดเลือด และ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
- ป้องกันโลหิตจาง – กระเจี๊ยบแดงมีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญของฮีโมโกลบิน อีกทั้งความเป็นกรดของสารพฤกษเคมีช่วยเพิ่มการดูดซึม และ การกระจายแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกายส่งผลให้กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้
- ลดน้ำตาลในเลือด – จากการศึกษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับชากระเจี๊ยบแดง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 150 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของอาสาสมัครลดลงสูงสุดจาก 162.1 เป็น 112.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จากกลไกทางชีวภาพของสารพฤกษเคมีที่ช่วยลดการย่อย และ การดูดซึมน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และ โมเลกุลคู่ผ่านการยับยั้งเอนไซม์แอลฟา – อะไมเลส และ แอลฟา – กลูโคซิเดส
- ลดความดันโลหิต – จากการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงภาวะความดันโลหิตสูง โดยให้อาสาสมัครดื่มชากระเจี๊ยบแดง 1.25 กรัม ชงกับน้ำร้อน 240 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตของอาสาสมัครลดลง 7.2 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจบีบตัว) และ 3.1 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจคลายตัว)
ข้อควรระวังในการบริโภคกระเจี๊ยบแดง
- ในผู้ชาย หากบริโภคกระเจี๊ยบแดงในปริมาณที่มากเกินไป มีผลต่อการสร้างอสุจิ และ จำนวนอสุจิที่ลดลง
- ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องก็ไม่ควรทานกระเจี๊ยบแดง
- สตรีมีครรภ์ และ สตรีให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการกินกระเจี๊ยบแดงติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือมากเกินไป
สรรพคุณมากมายก็ย่อมมีข้อเสียเช่นกัน การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมจะส่งผลดีต่อร่างการ หากมากเกินไป หรือ มีความเชื่อผิด ๆ ที่ว่ามีประโยชน์มากต้องบริโภคมาก ๆ นั้น อาจจะส่งผลเสียที่คาดไม่ถึงก็ได้ อ้างอิงข้อมูล: health.kapook,pobpad,medthai